การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์เภสัชโภชนภัณฑ์จากฟลาโวนอยด์ในพืช สมุนไพรเพื่อลดพิษทางรังสีในผู้สูงอายุที่ได้รับรังสีรักษาและรังสีวินิจฉัย = Research and development of innovative nutraceutical products from flavonoids in herbal plants for reduced radiotoxicity in elderly receiving radiotherapy and diagnostic radiation exposure / Sareeya Reungpatthanaphong [et al.]

โดย: Sareeya Reungpatthanaphong
ผู้แต่งร่วม: Sareeya Reungpatthanaphong | Somkamol Intawong | Sitthiphong Soradech | Pattravee Thong-on | สรียา เรืองพัฒนพงศ์ | สมกมล อินทวงค์ | สิทธิพงศ์ สรเดช | ภัทราวีร์ ทองอ่อน
BCG: สมุนไพร TRM: ผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Health products) Language: Thai ชื่อชุด: Res. Proj. no. 65-04, Sub Proj. no. 4; no. 1 (Final report)ข้อมูลการพิมพ์: Pathumthani : Thailand Institute of Scientific and Technological Research, 2024 รายละเอียดตัวเล่ม: 117 p. : tables, ill. ; 30 cm.ชื่อเรื่องอื่นๆ: โครงการวิจัยที่ ภ.65-04 การพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์เภสัชโภชนภัณฑ์เสริมสุขภาพและชะลอวัยสำหรับผู้สูงอายุจากสารรงควัตถุในพืชสมุนไพรสู่ประเทศไทย 4.0 หัวเรื่อง: ผลิตภัณฑ์เภสัชโภชนภัณฑ์ | ฟลาโวนอยด์ | รังสีวินิจฉัยสารสนเทศออนไลน์: Click here to access Full-text สาระสังเขป: This work was carried out with the aimed to develop the extraction of tamarind seed coat (Tamarindus indica L.) loaded Transethosome nanoparticles (TENs), serving as the potential active ingredient to achieve the antioxidant activity, inhibition of micronucleus formation, and radioprotective effect in human peripheral lymphocytes. The tamarind seeds were heated in hot air oven at 60 ºC for 4 h, then were cooled and cracked to separate their outside brown layer. Only brown-red seed coats were collected and ground into fine powder. The seed coat powder was extracted by 70% ethanol. The crude extract was filtered and concentrated by rotary evaporator before determined total phenolic and total flavonoid content. The effect of tamarind seed coat extract on antioxidant activity, inhibition of micronucleus formation in human lymphoblast cell line (TK6), and radioprotective effect in human peripheral lymphocytes were investigated. The toxicity of tamarind seed coat extract was studied in both in vitro and in vivo. The results demonstrated that tamarind seed coat extract showed the strongest antioxidant activities in DPPH and FRAP value, which were EC50 of 3.96 ± 0.02 µg/mL and value of 5,258.87 ± 90.58 µM/mg, respectively. It was non-clastogen which did not induce micronucleus formation and could decrease micronucleus formation-induced by irradiation in human peripheral lymphocytes. It exhibited radioprotective effect in TK6 cell line. In addition, it did not show cytotoxicity in L929 cell line at the concentration range 10-7- 10-4 g/mL and did not show acute oral toxicity in female rats at a dose of 2,000 mg/kg BW. However, the use of tamarind seed coat extract is limited as natural extracted due to its low stability from its decomposition under light, heat, and oxygen. In order to overcome this drawback, it was encapsulated within TENs which were prepared using High Speed Homogenization at 8,000 rpm containing tamarind seed coat extract loading in TENs. The result of the physical stabilities after accelerated conditions of the formulations indicated that a thermodynamically stable of TENs size could improve its physical stability. The stability of tamarind seed coat-TENs can be evaluated by measuring their physical changes, such as PDI, particle size, moist content, color, odor, %Brix, sedimentation and texture during storage after 1 and 3 months for nanoparticles and product prototype, respectively. The physical appearance and stability of the tamarind seed coat was prolonged under loading into TENs. The cytotoxicity test of TENs had no toxic effects on the mouse dermal fibroblast (L929) and there was no acute oral toxicity of TENs at a dose of 5,000 mg/kg BW in rats. The use of nanotechnology as a delivery system of tamarind seed coat served to improve the physical and chemical stability of the natural extracted for use as an active ingredient in dietary supplement formulations. In conclusion, ethanolic extraction of tamarind seed coat exhibited several biological effects that could be used as a potential active ingredient from flavonoids for dietary supplement and nutraceutical products to reduce radiotoxicity. Tamarind seed coat extract-loaded TENs can entrap the active ingredient inside and assist in controlling the release in time-dependent manner. Our findings provide potential uses of agricultural wase, for example tamarind seed coat, as a multifunctional nutraceutical ingredient to be further explored in future studies.สาระสังเขป: วัตถุประสงค์ของโครงการวิจัยนี้คือ การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์เภสัชโภชนภัณฑ์จากฟลาโวนอยด์ในพืชสมุนไพรเพื่อลดพิษทางรังสีในผู้สูงอายุที่ได้รับรังสีรังสีรักษาและรังสีวินิจฉัย โดยเริ่มจากการคัดเลือกพืชที่มีคุณสมบัติตรงตามวัตถุประสงค์มาวิจัยในโครงการ นำเปลือกเมล็ดมะขามมาสกัดด้วยวิธีแช่หมัก (maceration) โดยใช้ 70% เอทานอล เพื่อทำการศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพ ได้แก่ ฤทธิ์การต้านออกซิเดชัน ฤทธิ์ยับยั้งการเกิดไมโครนิวเคลียสในเซลล์เพาะเลี้ยง (TK6) และฤทธิ์ป้องกันรังสีในเซลล์ลิมโฟไซด์ของมนุษย์ นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้ทำการศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามในเซลล์เพาะเลี้ยงและสัตว์ทดลอง ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด คือ มีค่า EC50 เท่ากับ 3.96 ± 0.02 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร และค่า FRAP value เท่ากับ 5,258.87 ± 90.58 ไมโครโมลาร์ต่อมิลลิกรัม เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ FRAP ตามลำดับ สารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามที่ความเข้มข้น 10-7 -10-4 กรัมต่อมิลลิลิตร ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ L929 และสารสกัดที่ขนาด 2,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม น้ำหนักตัว ไม่เป็นพิษเฉียบพลันในหนูเพศเมีย อย่างไรก็ตามการใช้สารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามก็มีข้อจำกัดบางประการเนื่องจากมีความคงตัวต่ำ จากการสลายตัวภายใต้แสง ความร้อน และออกซิเจน ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงได้ทำการกักเก็บสารสำคัญได้แก่ฟลาโวนอยด์จากสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามด้วยเทคโนโลยีนาโนทรานซ์เอทโธโซม (TENs) ซึ่งอนุภาคนาโนได้มาจากการเตรียมด้วยวิธีการปั่นด้วยความเร็วสูง 8,000 รอบต่อนาที ที่บรรจุสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามใน TENs หลังจากนั้นได้ทำการศึกษาความคงตัวทางกายภาพหลังจากสภาวะเร่งของสูตรตำรับ ผลการวิจัยพบว่าความคงตัวของสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามใน TENs สามารถปรับปรุงเสถียรภาพทางกายภาพได้ดีกว่าในรูปแบบสารสกัดหยาบ การทดสอบความคงตัวของสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามใน TENs สามารถประเมินได้โดยการวัดค่า การกระจายขนาดอนุภาค (PDI) ขนาดอนุภาค ค่าวัตถุประสงค์ของโครงการวิจัยนี้คือ การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์เภสัชโภชนภัณฑ์จากฟลาโวนอยด์ในพืชสมุนไพรเพื่อลดพิษทางรังสีในผู้สูงอายุที่ได้รับรังสีรังสีรักษาและรังสีวินิจฉัย โดยเริ่มจากการคัดเลือกพืชที่มีคุณสมบัติตรงตามวัตถุประสงค์มาวิจัยในโครงการ นำเปลือกเมล็ดมะขามมาสกัดด้วยวิธีแช่หมัก (maceration) โดยใช้ 70% เอทานอล เพื่อทำการศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพ ได้แก่ ฤทธิ์การต้านออกซิเดชัน ฤทธิ์ยับยั้งการเกิดไมโครนิวเคลียสในเซลล์เพาะเลี้ยง (TK6) และฤทธิ์ป้องกันรังสีในเซลล์ลิมโฟไซด์ของมนุษย์ นอกจากนี้ผู้วิจัยยังได้ทำการศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามในเซลล์เพาะเลี้ยงและสัตว์ทดลอง ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามมีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้ดีที่สุด คือ มีค่า EC50 เท่ากับ 3.96 ± 0.02 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร และค่า FRAP value เท่ากับ 5,258.87 ± 90.58 ไมโครโมลาร์ต่อมิลลิกรัม เมื่อทดสอบด้วยวิธี DPPH และ FRAP ตามลำดับ สารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามที่ความเข้มข้น 10-7 -10-4 กรัมต่อมิลลิลิตร ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ L929 และสารสกัดที่ขนาด 2,000 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม น้ำหนักตัว ไม่เป็นพิษเฉียบพลันในหนูเพศเมีย อย่างไรก็ตามการใช้สารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามก็มีข้อจำกัดบางประการเนื่องจากมีความคงตัวต่ำ จากการสลายตัวภายใต้แสง ความร้อน และออกซิเจน ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงได้ทำการกักเก็บสารสำคัญได้แก่ฟลาโวนอยด์จากสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามด้วยเทคโนโลยีนาโนทรานซ์เอทโธโซม (TENs) ซึ่งอนุภาคนาโนได้มาจากการเตรียมด้วยวิธีการปั่นด้วยความเร็วสูง 8,000 รอบต่อนาที ที่บรรจุสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามใน TENs หลังจากนั้นได้ทำการศึกษาความคงตัวทางกายภาพหลังจากสภาวะเร่งของสูตรตำรับ ผลการวิจัยพบว่าความคงตัวของสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามใน TENs สามารถปรับปรุงเสถียรภาพทางกายภาพได้ดีกว่าในรูปแบบสารสกัดหยาบ การทดสอบความคงตัวของสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามใน TENs สามารถประเมินได้โดยการวัดค่า การกระจายขนาดอนุภาค (PDI) ขนาดอนุภาค ค่าความชื้น สี กลิ่น ความหวาน การตกตะกอน และเนื้อสัมผัส หลังจากการเก็บเป็นระยะเวลานาน 1 และ 3 เดือน สำหรับอนุภาคนาโน และผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ตามลำดับ ผลการศึกษาไม่พบการแยกชั้นและการตกตะกอนของสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามใน TENs ดังนั้นคุณสมบัติทางกายภาพและอายุของสารสกัดสามารถเพิ่มขึ้นจากการเตรียมให้อยู่ในอนุภาคนาโน การศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามใน TENs พบว่าไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์ (L929) และไม่เป็นพิษต่อสัตว์ทดลอง ด้วยเหตุนี้การใช้นาโนเทคโนโลยีเป็นระบบการส่งผ่านของสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามจะเป็นการช่วยปรับปรุงความคงตัวทางกายภาพและเคมีของสารสกัดจากพืชธรรมชาติเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตสูตรผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพและมีความปลอดภัยสูง. การวิจัยสรุปว่าสารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามมีฤทธิ์ทางชีวภาพที่หลากหลาย ด้วยเหตุนี้ สารสกัดเปลือกเมล็ดมะขามที่สกัดด้วยเอทานอลและบรรจุในอนุภาคนาโนทรานซ์เอทโธโซม สามารถใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากสารฟลาโวนอยด์สำหรับช่วยลดพิษทางรังสีได้ ด้วยคุณสมบัติของอนุภาคนาโนจะสามารถช่วยกักเก็บสารสำคัญไว้ภายใน ทำให้สามารถควบคุมการปลดปล่อยสารสำคัญได้ตรงเป้าหมายยิ่งขึ้น การวิจัยนี้เป็นการนำวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร อย่างเช่นเปลือกเมล็ดมะขาม มาพัฒนาเป็นสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สามารถใช้ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้ ซึ่งจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมและพัฒนาสูตรเพื่อทำเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบต่างๆ ต่อไป
    Average rating: 0.0 (0 votes)
ไม่มีรายการทางกายภาพสำหรับระเบียนนี้

There are no comments on this title.

to post a comment.

Click on an image to view it in the image viewer

    Thailand Institute of Scientific and Technological Research
    35 Mu 3 Technopolis, Tambon Khlong Ha, Amphoe Khlong Luang, Pathum Thani 12120
    ☎ 0 2577 9000, 0 2577 9300