การวิจัยและพัฒนาสารสำคัญโดยเทคนิคเอนแคปซูเลชันเพื่อเป็นสารออกฤทธิ์สำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางจากมะม่วงหิมพานต์ = Research and development of active ingredient using encapsulation technique for cosmeceutical products from Anacardium Occidentale L. / Sareeya Reungpatthanaphong [et al.]
โดย: Sareeya Reungpatthanaphong
ผู้แต่งร่วม: Sareeya Reungpatthanaphong | Jaruwan Sittipol | Rachain Visutthipat | Ubon Lerkum | สรียา เรืองพัฒนพงศ์ | จารุวรรณ สิทธิพล | ราเชนทร์ วิสุทธิแพทย์ | อุบล ฤกษ์อ่ำ
ข้อมูลการพิมพ์: Pathumthani : Thailand Institute of Scientific and Technological Research, 2024 รายละเอียดตัวเล่ม: 119 p. : tables, ill. ; 30 cmชื่อเรื่องอื่นๆ: รหัสโครงการ : 6618103075หัวเรื่อง: มะม่วงหิมพานต์ | ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง | ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสาระสังเขป: Cashew tree or Anacardium occidentale L. is a tropical tree. Cashew apple is a pseudofruit, responsible for 90% of the weight, which is connected to the cashew nut. It has been known as a good source of antioxidant with high ascorbic acid and phenols. This work was carried out with the aimed to develop the extraction of cashew apple loaded nanoparticles, serving as the potential active ingredient to achieve the antioxidant activity, inhibition of tyrosinase enzyme, and collagen stimulation. The cashew apple was squeezed and extracted with 95% ethanol. The solvent was evaporated with vacuum rotary evaporation. HPLC and GC-MS techniques were analyzed to determine the concentration of active ingredients in the crude extract. In
addition, it was discovered that cashew fruit extract contained 0.52 milligrams of vitamin C per 100 grams of extract. The crude extract was determined total phenolic content (TPC) and total flavonoid content (TFC). The antioxidant activity and the toxicity of crude extract were investigated. The results demonstrated that crude extract showed 182.7±11.6 mg gallic acid/10 mg extract and 41.0 ± 10.6 mg quercitrin/10 mg extract in TPC and TFC, respectively. It also exhibited the strongest antioxidant activities in DPPH, ABTS and FRAP value, which were EC50 of 214.7±0.3, 188.3±0.1 µg/mL and the value of 66.10 ± 1.00 µg/mg sample, respectively. This study assessed the inhibitory effects of the crude extract on tyrosinase, elastase, collagenase, and hyaluronidase. The results exhibited that the crude extract could inhibit tyrosinase and collagenase by 15.53±3.66% and 1.69±0.22%, respectively. At a dosage of 1 mg/mL, the crude extract has been shown to decrease melanin content in melanoma cells by 25.92±2.84%. The cytotoxicity test of the crude extract showed no toxic effect on the mouse dermal fibroblast (L929) and B16F10 at the concentration lower than 10-4 and 10-3 g/mL, respectively. A technique using trans-ethosome nanoparticles (TENs) has improved the extraction of bioactive compounds from cashew fruit extract for use in cosmetics. This process increases efficiency and controls the release of active molecules at target sites. The stability and compatibility testing of the prototype were also examined. The stability test revealed that optimal storage conditions are 30±2 °C,
75±5% RH, with acceptable results. Moreover, the compatibility test confirmed that the chosen packaging effectively preserves product quality and protects against oxidation. The cytotoxicity of the prototype product on both the L929 cell and volunteers showed that it did not cause toxicity at doses lower than 10-3 g/mL.
Moreover, the undiluted prototype product did not cause any irritation in 33 volunteers during a 48-hour test period. The results showed that the prototype product has a mean cumulative irritation index (M.C.I.I.) of 0.08, indicating its potential as a safe and effective product. This success can be attributed to the use of
nanotechnology, which has facilitated the delivery of potent active compounds and increased efficacy. The cashew fruit extract loaded nanoparticles were more stabilized which improved the physical and chemical properties of prototype, further contributing to its safety and usefulness for product development. In this research, the development of active compound derived from cashew apples for use as active ingredients in cosmetic products was performed. It was found that cashew apple extract contains active compounds that have antioxidant effects and can inhibit tyrosinase and collagenase. In addition, the crude extract can decrease the production of melanin content in melanoma cell line, contributing to skin brightness. There was no cause cytotoxicity in cultured cells. Nanotechnology was applied to develop delivery systems for the crude extract, resulting in the achievement of small nanoparticles. These nanoparticles efficiently encapsulate and control the release of active compounds upon reaching their intended target. Subsequently, the extract loaded nanoparticles underwent analysis of active compounds, tests for antioxidant activity, and safety assessments to confirm their suitability before progressing to the development of prototype products as nano serums. The prototype was studied for stability and compatibility tests. Clinical trials were conducted on volunteers to verify its safety. This comprehensive project not only utilizes residual materials from cashew apple processing, thereby adding value and utility to agricultural byproducts, but also contributes to enhance the identity of local plants in Tha Pla District, Uttaradit Province, Thailandสาระสังเขป: มะม่วงหิมพานต์ (Anacardium occidentale L.) เป็นพืชที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วนไม่ว่าจะเป็นยอดอ่อนลำต้นเปลือก ผลเทียม เปลือกเมล็ด และเมล็ด เป็นต้น โดยผลมะม่วงหิมพานต์ (Cashew apple) เป็นส่วนเหลือทิ้งทางการเกษตร มีรสฝาด เน่าเสียง่าย และมีกลิ่นเฉพาะตัว จึงไม่ได้ รับความนิยมในการบริโภค ซึ่งงานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสารออกฤทธิ์สำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอางจากมะม่วงหิมพานต์ที่มีฤทธิ์ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความกระจ่างใสและช่วยต้านริ้วรอย โดยการใช้เทคโนโลยีไมโคร/นาโนเอนแคปซูเลชัน เริ่มจากการนำผลเทียมมะม่วงหิมพานต์มาสกัด โดยใช้เอทานอล ร้อยละ 95 วิเคราะห์หาปริมาณสารสำคัญของสารสกัดโดยใช้เทคนิค HLPC และ GC-MS พบว่าสารสกัดจากผลมะม่วงหิมพานต์มีคาร์ดานอลเป็นสารสำคัญ ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังพบว่าสารสกัดผลมะม่วงหิมพานต์ปริมาณวิตามินซีเท่ากับ 0.52 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัมสารสกัด สารประกอบฟีนอลิกรวมเท่ากับ 182.7±11.6 เทียบเท่ากับมิลลิกรัมของ gallic acid ต่อ 10 มิลลิกรัมสารสกัด สารประกอบฟลาโวนอยด์รวมเท่ากับ
41.0±10.6 เทียบเท่ากับมิลลิกรัมของ quercetin ต่อ 10 มิลลิกรัมสารสกัด และไม่พบการปนเปื้อนของโลหะหนัก เมื่อทดสอบความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระด้วยวิธี DPPH และ ABTS พบว่ามีค่า EC50 เท่ากับ 214.7±0.3 และ 188.3±0.1 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับ มีค่า FRAP value เท่ากับ 36.1±1.7 ไมโครกรัมต่อมิลลิกรัมสารสกัด สำหรับฤทธิ์การยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส อิลาสเตส คอลลาจีเนส และไฮยาลูโรนิเดส พบว่า สารสกัดมีฤทธิ์ในการยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสและคอลลาจีเนส ซึ่งมีค่าเท่ากับ ร้อยละ 15.53±3.66 และ 1.69±0.22 ตามลำดับ แต่ไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้ง
เอนไซม์อิลาสเตส และไฮยาลูโรนิเดส สารสกัดที่ความเข้มข้น 1 มิลลิกรัมต่อมิลลิตร สามารถยับยั้งปริมาณเมลานินในเซลล์เมลาโนมาได้ ร้อยละ 25.92±2.84 สารสกัดไม่เป็นพิษต่อเซลล์เพาะเลี้ยงชนิด L929 และ B16F10 ที่ความเข้มข้นน้อยกว่า 10-4 และ 10-3 กรัมต่อมิลลิลิตร ตามลำดับอย่างไรก็ตามการนำสารสกัดจากผลมะม่วงหิมพานต์มาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ยังมีข้อจำกัดบางประการ ได้แก่ ความคงตัวต่ำและการซึมผ่านของสารสกัดเข้าสู่ผิวได้ยาก ดังนั้นเพื่อ
แก้ปัญหาดังกล่าวจึงได้มีการพัฒนาสูตรและกรรมวิธีการกักเก็บสารสำคัญจากผลมะม่วงหิมพานต์ด้วยเทคโนโลยีนาโนทรานซ์เอทโธโซม (TENs) ซึ่งนวัตกรรมการนำส่งสารสำคัญนี้จะช่วยให้การนำส่งสารสำคัญตรงเข้าสู่เป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทำให้สามารถกักเก็บและควบคุมการปลดปล่อยสารสำคัญได้ดี อีกทั้งยังเป็นระบบการนำส่งผ่านผิวหนังที่สามารถแทรกผ่านผิวได้ลึกกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสารสกัดในรูปแบบสารละลาย นอกจากนี้ได้ทำการศึกษาความคงตัวของผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่พัฒนาขึ้นและความเข้ากันได้ของบรรจุภัณฑ์ พบว่าจากการทดสอบความคงตัว 6
สภาวะ การเก็บรักษาที่เหมาะสมอยู่ในช่วง 30±2 องศาเซลเซียส ที่ 75±5% RH โดยผลการทดสอบอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ สำหรับผลการทดสอบความเข้ากันได้ของบรรจุภัณฑ์ พบว่า บรรจุภัณฑ์ที่เลือกใช้ช่วยให้ผลิตภัณฑ์มีความคงตัวมากขึ้น สามารถช่วยรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ยาวนานขึ้นโดยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของผลิตภัณฑ์จากแสงได้ การศึกษาความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ต้นแบบทั้งในระดับเซลล์และในอาสาสมัคร พบว่า ผลิตภัณฑ์ต้นแบบไม่ก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลลเพาะเลี้ยงชนิด L929 ที่ความเข้มข้นน้อยกว่า 10-3 กรัมต่อมิลลิลิตร และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองในอาสาสมัครจำนวน 33 คน เมื่อทดสอบผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ไม่เจือจางความเข้มข้นระยะเวลาทดสอบนาน 48 ชั่วโมง ผลการทดสอบพบว่าผลิตภัณฑ์ต้นแบบมีความดัชนีความระคายเคืองสะสมโดยเฉลี่ย (M.C.I.I.) เท่ากับ 0.08 ด้วยเหตุนี้การนำนาโนเทคโนโลยีมาช่วยในเรื่องการนำส่งสารสำคัญในด้านเครื่องสำอางจะช่วยลดการทำลายสารสำคัญและส่งผลให้ออกฤทธิ์ให้นานขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องความคงตัวทางกายภาพและทางเคมีของสารสกัดจากผลมะม่วงหิมพานต์ ทำให้สามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่มีคุณลักษณะที่ดี มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้จากการศึกษาวิจัยและพัฒนาสารสำคัญจากผลมะม่วงหิมพานต์เพื่อใช้เป็นสารออกฤทธิ์สำหรับผลิตภัณฑ์เวชสำอาง พบว่าสารสกัดจากผลมะม่วงหิมพานต์มีคาร์ดานอลเป็นสารสำคัญ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสและคอลลาจีเนสได้ นอกจากนี้ยังสามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินในระดับเซลล์ซึ่งช่วยในเรื่องความกระจ่างใส โดยสารสกัดไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์เพาะเลี้ยง เมื่อนำสารสกัดมาพัฒนาระบบนำส่งโดยใช้นาโนเทคโนโลยีทำให้ได้อนุภาคที่มีขนาดเล็ก ช่วยกักเก็บเก็บสารสำคัญและควบคุมการปล่อยสารเมื่อถึงเป้าหมาย จากนั้นนำอนุภาคที่บรรจุสารสกัดนี้มาทำการวิเคราะห์สารสำคัญ ทดสอบฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระ และทดสอบความปลอดภัยเพื่อยืนยันก่อนจะนำมาพัฒนาต่อเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบในรูปแบบเซรั่มบำรุงผิวที่ผ่านการศึกษาความคงตัวและการเข้ากันของบรรจุภัณฑ์ พร้อมการทดสอบขั้นคลินิกในอาสาสมัครเพื่อยืนยันความปลอดภัย ซึ่งในภาพรวมโครงการนี้เป็นการใช้ส่วนเหลือทิ้งจากการแปรรูปมะม่วงหิมพานต์มาใช้ให้
เกิดประโยชน์ นับว่าเป็นการเพิ่มคุณค่า และมูลค่าให้กับส่วนเหลือทิ้งทางการเกษตรอีกทั้งยังเป็นการ เพิ่มอัตลักษณ์ให้กับพืชท้องถิ่น อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ โดยเป็นแหล่งวัตถุดิบสำคัญอย่างมะม่วงหิมพานต์ที่นำมาใช้ในโครงการวิจัยนี้
ไม่มีรายการทางกายภาพสำหรับระเบียนนี้
There are no comments on this title.